Monday, August 30, 2010

ศิลปะของการครองรักครองเรือน

เขาว่ากันไว้ว่า "แรกรักน้ำต้มผักก็ว่าหวาน ครั้นอยู่นานไป น้ำอ้อยก็กร่อยขม" แม้ว่าจะเป็นประโยคที่กล่าวต่อเนื่องมาจากโบราณกาลแล้ว แต่ก็ดูยังทันสมัยอยู่เสมอในปัจจุบัน หลายต่อหลายคู่แรกรักกันใหม่ๆ ก็จี๋จ๋าหวานซาบซึ้งกัน มองตากันทั้งวัน จับมือกันทั้งวัน ไปไหนไปด้วยกัน ไม่ยอมแยกห่างจากกันแม้แต่วินาทีเดียว... แบบนั้น มันก็เว่อร์ไปหน่อยจริงไหม และคู่รักหวานแหววแบบนี้ คนเขาก็มักจะนินทาลับหลังว่า ดูไปเถิด ไม่นานก็เลิกกัน รับรองว่าก้นหม้อข้าวยังไม่ทันดำเลย คิดว่าคนที่พูดแบบนั้น คงจะพูดด้วยความอิจฉาริษยา แต่ครั้นสังเกตไปนานๆ เข้า ก็ดันเป็นจริงแบบนั้นเสียด้วยซิ!!
ตรงกันข้าม หลายคู่ที่เริ่มต้นแบบราบเรียบธรรมดา ไม่หวือหวาอะไร แต่พยายามเข้าใจกัน ปรับตัวเข้าหากัน ด้วยความรัก ความผูกพัน ความรักของเขาและเธอกลับหวานแหววเพิ่มขึ้นตามกาลเวลาที่ผ่านไป และกลับมีชีวิตคู่ที่แสนหวาน น่ารัก เป็นที่ชื่นชมของคนรอบข้าง ...นั่นเป็นศิลปะของการครองรักครองเรือนมิใช่หรือ ??? อย่างน้อยบางเรื่องบางราวของคนในยุคโบราณก็น่าจะนำมาเป็นแบบอย่างในการดำเนินชีวิตคู่ได้ เพราะการจะมีคู่ครองสักคน ต้องอาศัยทั้งความอดทน อดกลั้น และอดออม คนโบราณมักจะสอนว่า ขอให้ถือไม้เท้ายอดทอง กระบอกยอดเพ็ชร ขอให้ครองคู่กันไปตราบนานเท่านาน ขอให้มองเห็นความดีของกันและกัน ขอให้ใช้ความดีพิชิตใจของแต่ละฝ่าย ขอให้ออมชอมถนอมน้ำใจกันและกัน อะไรหนักนิดเบาหน่อยก็ขอให้อภัยกัน เคยเขียนให้คุณผู้อ่านได้อ่านกันเสมอๆ ว่า ชีวิตคู่นั้น จะหวังให้คนอีกคนหนึ่งมาได้ดังใจของเรา เป็นไปไม่ได้ การจะเปลี่ยนนิสัยของคนอีกคนหนึ่งให้มาเป็นแบบที่ตนเองต้องการ ยิ่งไม่มีทางเป็นไปได้ ถ้าใครคิดจะมีคู่สักคน แล้วหวังว่าเขาหรือเธอจะเป็นไปในรูปแบบที่ตัวเองต้องการเพราะความรัก ขอบอกว่า คิดผิดอย่างมหันต์ เพราะยากพอๆ กับให้พระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตกนั่นแหละ และใครที่คิดแบบนี้ ก็มักจะพบความผิดหวังในชีวิตคู่เป็นที่แน่นอน ถ้าจะให้ชีวิตคู่มีความสุข ขอบอกเลยว่า คำต่อไปนี้มีความหมายมากในการมีชีวิตคู่ที่สุขสม... เข้าใจกัน ไว้ใจกัน ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน เคารพนับถือซึ่งกันและกัน และให้อภัยกัน เป็นคำที่ยังคงทันสมัยเสมอ แม้กาลเวลาจะผ่านไป เพราะถ้าคุณทำได้...คุณจะไม่ผิดหวังในบุคคลที่จะมาเป็นคู่ชีวิตของคุณเลย ชาย...หญิงนั้น คิดต่างกัน อุปนิสัยต่างกันในทุกเรื่องราว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของความรัก หรือกามารมณ์ ถ้าไม่พยายามจะเข้าใจกันแล้ว ชีวิตคู่มักจะพังทลายไปทุกที แต่ถ้าพยายามเข้าใจกันและปรับตัวเข้าหากัน บางคนที่แต่งงานกันเพราะความกตัญญูต่อบุพการี อาจจะมีความสุขมากกว่าคนที่บอกว่าแต่งงานเพราะรักกัน แต่หลังจากนั้นไม่พยายามจะเข้าใจกันมากมายนัก ความรักนั้น ต้องหมั่นเติมทุกวัน และทุกเวลาที่มีโอกาส ไม่อย่างนั้นความรักที่มีอยู่อาจจะแห้งเหือดหายไปได้ในที่สุด ไม่อย่างนั้นจะมีคำพูดว่า... รักวันเติมวันกันหรือ เตือนตัวเองไว้เสมอว่า วันนี้ได้เติมความรักให้แก่กันหรือยัง ไม่ว่าจะเป็นวาจา หรือการกระทำ แน่นอน กามารมณ์ที่เป็นพื้นฐานของชีวิตคู่ ก็ต้องได้รับการปรุงรสเช่นกัน เหมือนกับการรับประทานอาหารนั่นแหละ บางวันก็อยากจะทานอาหารทะเล บางวันอยากกินเนื้อย่าง บางวันแค่ข้าวผัดสักจานก็พอ เซ็กซ์หรือกามารมณ์ในชีวิตคู่ ก็ต้องได้รับการปรุงแต่งรสให้ใหม่เสมอ ไม่อย่างนั้น นานไปก็จะเกิดความเบื่อหน่าย ไม่เชื่อคุณลองไปรับประทานอาหารอะไรสักอย่างหนึ่งทุกวันซิครับ แล้วดูว่าคุณทานได้นานเท่าใด เคล็ดลับของการเติมรัก...ปรุงรส จึงเป็นเคล็ดลับในการครองชีวิตคู่ และสิ่งที่ต้องการเป็นอันดับแรกในชีวิตก็คือ... ทำอย่างไร ให้ชีวิตคู่ยืนยาวและเป็นสุขไม่ใช่หรือ
การมีชีวิตคู่ด้วยความรัก จึงเป็นปฐมบทของการใช้ชีวิตร่วมกันในทุกยุคทุกสมัย กล่าวกันว่า คนเรานั้นเกิดมาเพื่อแสวงหาความรัก ไม่ว่าจะเป็นหญิงหรือชาย ไม่ว่าความรักนั้นจะเป็นความรักต่อต่างเพศ หรือเป็นความรักในเพศเดียวกัน ก็นับเป็นความรักเช่นกัน
ต้องเรียนให้ทราบกันก่อนว่า ในปัจจุบันนี้จิตแพทย์และนักจิตวิทยาทั้งหลาย ได้มีความเห็นที่ตรงกันว่า ความรักในเพศเดียวกัน เป็นเรื่องปกติ ไม่ใช่เป็นความผิดปกติของจิตใจแต่อย่างใด แต่รูปแบบของความรักของคนส่วนใหญ่ที่ใช้ชีวิตคู่ด้วยกัน ก็ยังคงเป็นความรักของชายและหญิง ซึ่งย่อมแน่นอนว่า ในความคิดแล้วเรื่องอะไรก็ตามแต่... ชายหญิงมักจะคิดต่างกัน โดยเฉพาะเรื่องของสัมพันธภาพและความรักแล้ว กล่าวกันว่า ผู้ชายมาจากดาวอังคาร และผู้หญิงมาจากดาวพระศุกร์ ผู้ชายมีความรักแบบ 'อีโรติก' ในขณะที่ผู้หญิงมีความรัก 'โรแมนติก' ผู้หญิงต้องมีความรักก่อน จึงเกิดอารมณ์พิศวาส แต่ผู้ชายเมื่อมีความสุขสมจากบทพิศวาสแล้ว จะเกิดความรักในตัวของผู้หญิงที่มีความสุขด้วยมากขึ้น ผู้หญิงย่อมมีเซ็กซ์เพื่อตอบแทนความรัก แต่ผู้ชายบอกรักผ่านการมีเซ็กซ์
...การใช้ชีวิตคู่ จึงต้องอาศัยการปรับตัวเข้าหากัน และพบกันครึ่งทาง พยายามที่จะทำให้คนที่มาใช้ชีวิตคู่เข้าใจและมั่นใจในความรักที่มีต่อกัน ชีวิตคู่ของคนสองคนในระยะแรก จึงเปรียบได้กับดอกกุหลาบสีแดงที่เปี่ยมไปด้วยอารมณ์พิศวาสที่ร้อนแรง มีความหลงไหลและรู้สึกถึงความดึงดูดใจของเพศตรงข้าม กามารมณ์ จึงเป็นสัมผัสรักที่จับต้องได้ในระยะแรกของสัมพันธภาพ การร่วมรัก จึงเป็นการบอกรักกันด้วยภาษากาย และเมื่อเกิดความสุขสมร่วมกันแล้วก็อาจจะเกิดการผูกพันทางใจร่วมด้วย
แต่ชีวิตคู่ที่มีความรัก ซึ่งผสมด้วยบทพิศวาสที่ร้อนแรงนั้น ต้องมีการพัฒนาต่อไป ชีวิตคู่ จึงจะสุขสม ราบรื่น และยืนยาว เพราะบทพิศวาสและความเสน่หานั้น เป็นความรักแบบหลงไหลได้ปลื้ม ซึ่งจะอยู่ไม่นาน คู่รักที่เข้าใจ จึงต้องพัฒนาชีวิตรักให้เป็น...ดอกกุหลาบสีชมพูที่สดใส เป็นความรักที่พัฒนามาจากความรักของหนุ่มสาวให้กลายเป็นความรักฉันท์เพื่อนที่เข้าใจกัน ไว้ใจกัน ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน เคารพนับถือซึ่งกันและกัน รวมทั้งให้อภัยในความผิดพลาดของกันและกัน ชีวิตคู่ที่รู้จัก ขอโทษ ขอบคุณ และให้อภัย ร่วมทุกข์ ร่วมสุข ยืนเคียงข้างกันในทุกสถานการณ์อย่างมีสติ ย่อมเป็นชีวิตคู่ที่อยู่กันด้วยความรักความผูกพันที่พัฒนาจนเป็นชีวิตคู่ของมิตรแท้ที่จะเอื้อประโยชน์ให้แก่กัน โดยไม่เห็นแก่ตัว... แบบเพื่อนคู่คิด มิตรคู่ใจ ...และพัฒนาต่อไปจนเป็น เพื่อนคู่ชีวิต ซึ่งจะครองคู่กันด้วยความบริสุทธิ์ใจที่มอบให้แก่กัน ประดุจดอกกุหลาบสีขาวที่แสนจะบริสุทธิ์ นั่นน่าจะเป็นสิ่งที่ทุกคนหวังและตั้งใจเอาไว้ว่า ขอให้ได้ประสบพบเห็นในชีวิตนี้
นักจิตวิทยากล่าวว่า ความรักของคนเรานั้น มีการแสดงความรักออกมา 5 วิธีคือ
1. ความรักแบบต้องการสัมผัส เป็นความรักที่มีการแสดงออกที่สัมพันธุ์กับความรู้สึกด้านร่างกาย ที่ต้องการได้รับสัมผัสที่อบอุ่น ได้อยู่ใกล้ชิดกันและมีการตอบสนองทางกายต่อกันและกัน
2. ความรักแบบโรแมนติก เป็นความรักที่มีความรู้สึกหลงไหล ที่รุนแรง รู้สึกว่าอีกฝ่ายดึงดูดใจอย่างมาก
3. ความรักแบบต้องการอยู่ร่วมกัน เป็นความรักที่ต้องการการมีส่วนร่วม แบ่งปันประสบการณ์ต่างๆ ต่อกัน ต้องการใช้เวลาอยู่ร่วมกันและทำตามคำขอร้องของคู่ของตน
4. ความรักแบบต้องการความแน่ใจ เป็นความรักที่ต้องการความมั่นคงทางใจ อยากให้คู่ของตนเข้าใจตนเอง ขณะเดียวกันก็พยายามเอาอกเอาใจอีกฝ่าย เพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการ
5. ความรักแบบสัญญาใจ เป็นความรักที่มักเกิดหลังจากใช้ชีวิตคู่ร่วมกัน จนเกิดการผูกพันเป็นสัญญาใจ ที่ต่างก็ยอมรับการใช้ชีวิตคู่ร่วมกัน และเป็นความรับผิดชอบที่รับรู้ได้ด้วยความรู้สึกที่มั่นคงต่อกัน
รูปแบบของการแสดงความรัก 5 วิธีนั้น เป็นรูปแบบที่เสนอโดยคุณหมอผู้อำนวยการ สำนักโครงการสร้างเสริมสุขภาพระดับพื้นที่ของสถาบันส่งเสริมสุขภาพ โดยเรียบเรียง และแปลจากแบบทดสอบภาษาอังกฤษ ซึ่งน่าจะมีประโยชน์สำหรับผู้ที่ต้องการใช้ชีวิตคู่อย่างสุขสมและราบรื่น ไว้พิจารณาการแสดงความรักต่อกันให้สอดคล้องต่อความปรารถนาของคู่ชีวิต เพราะชีวิตคู่นั้น ต้องอยู่บนรากฐานของความรัก จึงจะยั่งยืน และสามารถครองชีวิตคู่กันไปจนถือไม้เท้ายอดทอง กระบองยอดเพชร เป็นชีวิตคู่ที่เปี่ยมไปด้วย ความรักและความผูกพันที่มีต่อกัน...

Read More

สูตรปรุงชีวิต

แม้ใครๆ จะบอกว่า ชีวิตไม่มีสูตรสำเร็จ แต่เขาคนนี้บอกว่า เราทำชีวิตให้ได้ดีและมีสุขได้ พร้อมทั้งบอกถึงสูตรสำเร็จของชีวิต แม้กระทั่งการเลือกคู่ การเลือกลูก เราก็กำหนดสเปคได้ แต่ไม่ใช่สเปคทางโลกแบบเก่งและดี ต้องมีปัญญาและเข้าใจสัจจะของชีวิต
ถ้าคนที่เข้าใจชีวิต แม้จะเจออุปสรรคมากมายเพียงใด ก็สามารถยิ้มรับและหาทางออกให้ตัวเองได้ แต่จะมีสักกี่คนที่ทำได้เช่นนั้น
บางคนพูดคุยธรรมะได้งดงาม แต่ไม่ได้นำมาปฏิบัติเพื่อแก้ปัญหาในชีวิตประจำวัน บางคนฉลาดเข้าใจเรื่องทางโลก และรู้สึกว่า การเอารัดเอาเปรียบเพื่อนมนุษย์เป็นเรื่องปกติในสังคม บางคนเข้าวัดเข้าวา
พูดคุยธรรมะประหนึ่งเข้าใจชีวิต แต่หาเป็นเช่นนั้นไม่
อาจเป็นได้ว่า มนุษย์มองออกไปนอกตัว จึงมองไม่เห็นบางอย่างในตัวเอง
ลองมารู้จักกับ ดอกเตอร์ทางวิทยาศาสตร์คนหนึ่ง ดร.สนอง วรอุไร แม้จะร่ำเรียนทางด้านวิทยาศาสตร์ จบปริญญาเอก สาขาไวรัสวิทยา จากมหาวิทยาลัยลอนดอน แต่ในที่สุดก็หันมาศึกษาธรรมะอย่างจริงจัง และพบว่าจิตของเรามีศักยภาพมากกว่าที่คิด สามารถพัฒนาได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด เพียงแต่เราไม่รู้จักการพัฒนาจิต
เขาย้อนความว่า ตอนเรียนอยู่ที่อังกฤษ ต้องเรียนหนักมาก แต่พอฝึกจิตก็ส่งผลให้สามารถจดจำสิ่งต่างๆ ได้เร็วขึ้น และเข้าใจบทเรียนได้ง่ายขึ้น
เมื่อสามสิบปีที่แล้วเขาได้อุปสมบท และมีโอกาสฝึกวิปัสสนากรรมฐานกับพระเทพสิทธิมุนี (โชดก ปธ.9 ) ที่วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฏ์เป็นเวลา 30 วัน ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เขารู้สึกมีคุณค่าที่สุดในชีวิต ทำให้ชีวิตพบจุดเปลี่ยน
หลังจากนั้นดร.สนองเข้าเป็นอาจารย์สอนหนังสือที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ จนเกษียณอายุราชการ และหันมาเป็นครูบาอาจารย์ทางธรรม เดินสายบรรยายธรรมตามที่ต่างๆ ด้วยความเมตตาประกอบกับความเข้าใจชีวิตและธรรมะอย่างลึกซึ้ง สิ่งที่เขาบรรยายจึงมีคุณค่า สามารถจุดประกายความคิดให้หลายๆ คนนำมาใช้ในชีวิต
จนลูกศิษย์รวมกลุ่มกันตั้งเป็นชมรมกัลยาณธรรม ช่วยเผยแพร่ผลงานของเขาออกมาเป็นหนังสือหลายเล่มด้วยกัน อาทิ ทางสายเอก (เล่มนี้แปลเป็นภาษาอังกฤษเพื่อให้ชาวต่างชาติได้มีโอกาสศึกษาประสบการณ์การปฏิบัติธรรม) การใช้ชีวิตที่คุ้มค่า อัญมณีของชีวิต ฯลฯ
ล่าสุดทางสำนักพิมพ์อมรินทร์ ได้เปิดตัวหนังสือ ทำชีวิตให้ได้ดีและมีสุข ของดร.สนอง ซึ่งไม่น่าเชื่อว่าจะมีคนฟังเกือบเต็มหอประชุมเล็ก ธรรมศาสตร์
1. “ถ้าทำร่างกายให้แข็งแรง เราต้องรักษาใจให้ได้ จริงๆ แล้วความรู้เหล่านี้มีมานานแล้ว ถ้ามีสุขภาพจิตดี กายก็จะดีไปด้วย “ดร.สนอง เริ่มเล่าให้ญาติโยมและผู้สนใจฟัง จากตัวอย่างของเขาเองปัจจุบันอายุ 68 ปี ยังแข็งแรงและดูอ่อนกว่าวัย เพราะหมั่นฝึกดูใจตัวเองตลอดเวลา
เขาเล่าว่าในยุคที่บุกเบิกมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ต้องทำงานหนัก จนเป็นโรคกระเพาะ หลังจากฝึกจิตที่วัดมหาธาตุ ก็ค้นพบว่า โรคพวกนี้มาจากความเครียด หลังจากเรียนรู้เรื่องการฝึกจิตสมาธิผ่านมา 30 ปี ไม่เคยป่วยเป็นโรคอะไรเลย
เขาได้เขียนไว้ในหนังสือว่า ถ้าเราสามารถรักษาสมดุลของธาตุทั้งสี่ในร่างกายได้ โรคภัยไข้เจ็บก็จะไม่เกิด อย่างคนขี้หนาวต้องดื่มน้ำเยอะๆ ในทางวิทยาศาสตร์น้ำคือ ตัวเก็บความร้อน
ดร.สนองย้อนความถึงสมัยเรียนลอนดอนว่า เคยป่วยไม่สบายเพราะทำงานหนัก ตอนนั้นเป็นไข้หวัดใหญ่และอาจตายได้ ก็พยายามขอนัดแพทย์ เพราะอยู่ที่นั่นไม่สามารถซื้อยารับประทานเองได้ ต้องมีใบสั่งแพทย์ แต่วันนั้นแพทย์ไม่มีคิวให้ เราก็ต้องรอวันรุ่งขึ้น
“วันนั้นผมจึงรักษาตัวเองไปก่อน ไปนอนแช่น้ำอุ่น ปรากฏว่าอาการป่วยหาย ไปหาหมอในวันรุ่งขึ้น ไม่มีไข้เลย คนโบราณพูดถึงธาตุทั้งสี่ไว้คือ ดินน้ำลมไฟ ถ้าร่างกายมีสมดุลก็จะแข็งแรง แต่ถ้าเมื่อใดธาตุไหนหย่อนก็มีปัญหา อย่างการกินอาหารไม่สะอาด ก็ต้องกินน้ำเข้าไปเยอะๆ เราต้องรู้จักร่างกายตัวเอง“
เขายกตัวอย่าง และเล่าถึงสมัยหนุ่มๆ ว่า เคยรับประทานไข่วันละฟอง จนมีปัญหาต้องไปพบแพทย์ ปัจจุบันหันมากินไข่ได้อีก ทั้งๆ ที่ตอนนี้อายุ 68 ปี เพราะเราหมั่นสังเกตตัวเอง ถ้ามึนศีรษะเมื่อไหร่ก็จะหยุดทันที เพราะร่างกายเตือนเราล่วงหน้า
“ผมมีเพื่อนคนหนึ่งรับประทานไข่วันละ 10 ฟอง แต่เจอกันวันสุดท้ายที่งานศพ อย่างเวลาผมกินไข่ ถ้ามีอาการมึนศีรษะเมื่อไหร่ก็หยุด อีกอย่างถ้ารู้ว่าไขมันในเลือดสูง ก็อาจจะดื่มน้ำดอกคำฝอย บอระเพ็ด เติมน้ำร้อนแล้วดื่ม เพื่อให้ร่างกายสมดุล ก่อนอื่นต้องตั้งโปรแกรมจิตไว้ว่า ไม่เจ็บไข้ได้ป่วย ไม่ปวดศีรษะ แต่ผมคิดว่า
อายุเท่าไหร่ไม่สำคัญขอให้อยู่เพื่อทำประโยชน์ให้สังคม”
เขาย้ำอีกว่า แม้กระทั่งการตายก็มีสัญญาณเตือน อยู่ที่ว่าใครจะระลึกได้ทัน
2. นอกจากหลักการดูแลตัวเองง่ายๆ คือ การฟังเสียงร่างกาย หมั่นสังเกตตัวเองแล้ว เราก็ต้องมีสติและเข้าใจหลักการของธาตุทั้งสี่ และตั้งโปรแกรมจิตว่า จะไม่เจ็บไข้ได้ป่วยก็ย่อมทำได้
แม้หลายคนจะค้านอยู่ในใจว่า สามารถทำได้จริงหรือ ดร.สนอง บอกว่า ต้องรู้จักคิดในแง่บวก คำว่า ไม่มี ไม่ได้ ไม่เกิด อย่าได้มาเกิดกับเขาเลย
และเรื่องน่าคิดอีกอย่าง ก็คือ คนที่มีธรรมะในใจจะทำงานด้วยตัวเองอย่างมีความสุข ไม่ชี้นิ้วให้คนอื่นทำแทน การทำงานด้วยตัวเองก็เพื่อให้ร่างกายได้ออกกำลังกาย คนที่มีธรรมะจะไม่เกี่ยงงาน จะทำงานด้วยใจอย่างมีความสุข อย่างน้อยๆ ต้องหัดเดินออกกำลังกายวันละสามสิบนาที อย่าอยู่เฉยๆ
“ถ้าจิตไม่นิ่ง คลื่นสมองจะเปลี่ยน” ดร.สนอง ย้ำและยกตัวอย่างตัวเขาเอง หลังจากศึกษาธรรมะแล้วมีความจำดีกว่าตอนหนุ่มๆ และเวลาบรรยายธรรม เขาจะไม่อ่านตำรับตำรามากมาย แต่จะทำใจให้สงบนิ่งเพื่อดึงศักยภาพในตัวเองมาใช้ ไม่ว่าจะข้อมูลที่สะสมในชีวิตหรือความเข้าใจชีวิต เพราะความเป็นจริงแล้ว จิตของเราสั่งสมข้อมูลแต่ละภพแต่ละชาติไว้ เพียงแต่เราจะระลึกได้หรือไม่
ปัจจุบันคนเราใช้ศักยภาพของพลังจิตเพียงแค่ 7% ด้วยเหตุผลนี้เอง คนที่ฝึกสติอย่างเชี่ยวชาญก็จะใช้ประโยชน์ทำงานได้เต็มที่ แต่เมื่อใดจิตว้าวุ่น ปัญญาก็จะไม่เกิด
“ผมเคยบอกเพื่อนว่า ถ้ามีปัญหา ขอให้ลองอยู่นิ่งๆ สักพัก ปัญญาก็จะเกิด “
นอกจากนี้การฝึกสมาธิง่ายๆ ยังมีอีกมากมาย แม้แต่การฟังเพลงคลาสสิกก็สามารถสร้างสมาธิได้ ขอให้มีสติกำหนดรู้เท่าทันอิริยาบทปัจจุบัน การร้องเพลงในโบสถ์ก็เป็นอีกวิถีหนึ่งของการเข้าสู่ความสงบ ทิเบตก็มีดนตรีประกอบพิธี หรือดนตรีอินเดีย (พูดถึงดนตรี ก็เลยร้องเพลงให้ฟัง)
การสวดมนต์ ก็เป็นการเข้าสมาธิอย่างหนึ่ง ถ้าเรามีใจจดจ่อ ไม่ได้เอากิเลสเข้าไปปรุงแต่งก็จะได้สมาธิ
“ปกติผมจะบอกคนอื่นๆ ว่า อย่าเชื่อผม ให้ดูตามเหตุผล อย่างบางคนศรัทธามาก แต่ปัญญาไม่เกิด ผมว่าสติต้องพัฒนา”
3. การเข้าถึงศักยภาพของตัวเราเอง อาจเป็นเรื่องยากในความรู้สึกบางคน แต่สำหรับดร.สนองแล้วดูเหมือนไม่ใช่เรื่องยาก เขาย้ำว่า ถ้ากายแข็งแรงต้องเคลื่อนไหวตลอด แต่จิตต้องสงบนิ่ง ยิ่งคนเราขี้เกียจมากเท่าไหร่ ก็จะมีพลังน้อย
หันมาพูดเรื่องการกำหนดสเปคให้ชีวิต ดูท่าจะสนุกกว่า เขาบอกว่า การเลือกคู่มีสองแบบคือ คู่สร้างคู่สมและคู่เวรคู่กรรม อย่างคู่สร้างคู่สมคือ คู่ที่เคยผูกพันกันทำกุศลกรรมร่วมกันมานาน และได้มาเกิดในสถานภาพใกล้เคียงกัน ส่วนคู่เวรคู่กรรมคือ คู่ที่เคยเป็นศัตรูหรืออาฆาตจองเวรกันมาในชาติก่อน แล้วมาเกิดเป็นคู่กัน
แล้วเราจะเลือกคู่แบบไหนดีล่ะ
เขาบอกว่า เป็นเรื่องต้องพิถีพิถัน ไม่ต่างจากเวลาเราซื้อของ ก็ต้องกำหนด สเปค แต่ถ้าคุณวางสเปคไว้ว่าต้องไอคิวสูง (ความฉลาดทางปัญญาความคิดที่เกิดจากการคิดมากฟังมาก) อีคิวสูง(ความฉลาดทางอารมณ์) และเอสคิว (ความเป็นมนุษย์สมบูรณ์ ไม่ตกเป็นทาสของสรรพสิ่ง)
ถ้าคุณกำหนดสเปคว่า ต้องดีทั้งสามอย่าง ดร.สนองว่า ชาตินี้คุณไม่ได้แต่งงาน ถ้าเป็นเช่นนั้น เราต้องปรับตัวก่อนทำจิตทำใจให้มีศีลมีธรรม ถ้าจะเลือกคนมาเป็นคู่ ไม่จำเป็นต้องไอคิวสูงก็ได้ ขอให้เป็นคนดีคือ มีอีคิวสูง
ก่อนอื่นต้องรู้จักพัฒนาจิตใจตัวเอง คือ ส่องกระจกดูใจ เพราะทุกวันนี้เราออกจากบ้าน เราจะดูว่า แต่งตัวเหมาะสมไหม แล้วเราเคยดูใจของตัวเองไหม
“บางคนปฏิบัติธรรมมานาน แต่ธรรมะไม่ได้เข้าไปอยู่ในใจ ก่อนอื่นต้องดูที่ใจ แล้วแก้ที่ตัวเองก่อน คนอื่นเป็นครูของเรา อย่างชาวตะวันตกเวลาสอนให้คนดูต้นไม้ สัตว์หรือธรณีวิทยา ก็จะศึกษาข้างนอก ไม่ได้ศึกษาด้านใน”
เมื่อพูดถึงชีวิตด้านใน มีคนถามถึงเรื่องการสวดมนต์ที่ไม่รู้คำแปลจะมีประโยชน์อย่างไร ดร.สนองบอกว่า คนจำนวนมากสวดมนต์เพื่อให้จบเร็วๆ นั่นก็ได้สมาธิ แต่ไม่มาก แต่ควรสวดด้วยใจ ถ้าให้ดีก็ควรรู้ความหมาย บางบทก็จะได้แผ่เมตตาให้สรรพสัตว์ไปด้วย
“ความเมตตาถ้าเราส่งคลื่นจิตออกไปตรงกัน เขาก็รับรู้ได้ มันอยู่ที่คลื่นส่งของเราด้วย “
ในวงสนทนาก็มีคำถามมากมายที่หลายคนสงสัย แต่ดร.สนองสามารถตอบปริศนาได้บางส่วนเท่านั้น เพราะเวลาค่อนข้างจำกัด ยิ่งถ้าถามว่า ระหว่างการให้ทาน ถือศีล และปฏิบัติสมาธิภาวนา อันไหนจะได้บุญกุศลมากที่สุด
เขามีคำตอบว่า การภาวนาเพื่อพัฒนาจิต น่าจะเป็นแนวทางเพื่อให้มนุษย์ไปสู่จุดมุ่งหมายคือ ปัญญา เพราะถ้าเข้าสมาธิ เพื่อขจัดอารมณ์ปรุงแต่งได้ ย่อมเป็นเรื่องดี และสมาธิไม่จำเป็นต้องนั่งอย่างเดียว ทำได้ทุกอิริยาบท เพื่อให้เกิดปัญญาขจัดกิเลส และช่วยเหลือคนอื่นได้
แม้จะเป็นฆราวาสก็สามารถบรรลุธรรมได้เช่นกัน เมื่อก่อนเขาเองก็ไม่เชื่อ จนเข้าถึงอภิญาณ และหากบวชเป็นพระสงฆ์ คงพูดเรื่องพวกนี้ไม่ได้
นี่เป็นบางส่วนที่ดร.สนองเล่าให้ฟังวันนั้น เขาพยายามเน้นย้ำเรื่องการฝึกสติอย่างเข้าใจ ถ้ามีศรัทธาก็ต้องมีปัญญาด้วย อย่างน้อยๆ ก็ต้องหัดเจริญสติไปเรื่อยๆ อย่าหวังว่าจะได้ญาณหรือเห็นนิมิต
ลองหันมาพัฒนาจิตเพื่อจะได้ไม่เป็นทาสของกิเลส ตัณหา และรู้จักกำหนดชีวิตตัวเองอย่างคนที่มีปัญญา นั่นก็จะเป็นจิ๊กซอว์ช่วยเหลือคนอื่นต่อไป

หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ

Read More

Saturday, August 21, 2010

เสน่ห์ทางกระแสจิต

เป็นเสน่ห์ชนิดที่มีพลังชะโลมได้มากกว่าอย่างอื่น เช่น แค่เข้าใกล้รัศมีใครบางคนคุณก็รู้สึกเยือกเย็น หรือกระทั่งเกิดความเงียบสงัดไร้ความคิดขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด อย่างไรก็ตาม กระแสจิตของบางคนอาจเปี่ยมด้วยอิทธิพลแห่งพลังดึงดูดและพลังประทับได้ยิ่งกว่าเสน่ห์ทางกายกับวาจารวมกันเสียอีก หากคุณเคยมีประสบการณ์ผ่านพบใครบางคน ที่คุณอยู่ใกล้ๆแล้วเกิดความอยากอยู่ใกล้ เมื่อห่างไปก็ถวิลถึง แม้รูปร่างหน้าตาของเขาไม่จัดว่าเลอเลิศ กับทั้งถ้อยทีเจรจาก็งั้นๆ นั่นแหละครับตัวอย่างของคนมีเสน่ห์ทางกระแสจิตขั้นรุนแรง
เสน่ห์แห่งกระแสจิตนั้น เป็นสิ่งเห็นไม่ได้ด้วยตา จับต้องไม่ได้ด้วยมือ ทว่าง่ายที่จะสัมผัสด้วยใจ และแม้คุณพบเจอจังๆ อยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ทว่าในเมื่อไม่เคยมีใครขอให้คุณอธิบาย คุณเลยไม่เคยฝึกจำแนกแยกแยะว่ากระแสจิตมีกี่ชนิด แต่ละชนิดมีพลังเสน่ห์จับใจได้แตกต่างกันสักแค่ไหน
จิตมนุษย์ที่กระจายออกมาให้สัมผัสได้นั้น มีกระแสพลังจากแหล่งต่างๆได้หลายหลาก อาทิเช่น พลังความคิด พลังจากมหากุศลที่ประกอบแล้ว พลังความสว่างทางปัญญาที่รู้ชอบในธรรมะ พลังสุขภาพ พลังของหน้าที่ พลังของอิทธิพลต่อหมู่คน พลังของที่อยู่อาศัย พลังของพาหนะส่วนตัว พลังของอัญมณี พลังของสัตว์ที่ผูกพันแน่นเหนียว พลังไสยศาสตร์ ตลอดไปจนกระทั่งพลังของเทพหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เกี่ยวข้องกันในทางใดทางหนึ่ง โดยย่นย่อกระแสจิตจะเป็นอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับวิธีมีตัวตนของแต่ละคน
ผมอาจแจกแจงที่มาที่ไปและชนิดของเสน่ห์ทางกระแสจิตอย่างละเอียดเป็นหนังสือเล่มหนึ่งได้โดยเฉพาะ แต่ในที่จำกัดนี้คงกล่าวเพียงสังเขปในแง่ “วิธีคิดอันเป็นต้นตอเสน่ห์ทางกระแสจิต” เพราะเสน่ห์ทางกระแสจิตของมนุษย์ธรรมดาจะเป็นไปตามวิธีคิด สายความคิดของมนุษย์ทั่วไปจะไม่ค่อยขาดสาย จึงปรุงแต่งให้จิตเป็นไปต่างๆนานาได้มากกว่าปัจจัยอื่น

Read More

เสน่ห์ทางวาจา

เป็นเสน่ห์ที่มีพลังฝ่ายประทับมากกว่าอย่างอื่น เช่น ฟังพูดแล้วติดหูไม่รู้ลืม ราวกับพลังเสียงและสำเนียงพูดบุกรุกเข้ามาฝังตัวและกลอกกลิ้งอยู่ในแก้วหูคนฟังได้ พอห่างกันแล้วถวิลถึงราวกับโดนเสน่ห์ยาแฝด
เสน่ห์ทางวาจาจะแผลงฤทธิ์เต็มที่ต่อเมื่อผู้พูดมีโอกาสฉายไม้เด็ดสักประโยคสองประโยค การโอภาปราศรัยทักทายเพียงคำสองคำอาจจะยังไม่ได้ผลนัก แต่หากได้ช่องสำแดงเดชเต็มกำลัง เสน่ห์ทางวาจาก็อาจชวนให้หวนคิดถึงได้ยิ่งกว่าเสน่ห์ทางกายมาก เนื่องจากความทรงจำเกี่ยวกับส่ำเสียงและถ้อยคำจะยืนยาวกว่าความทรงจำเกี่ยวกับรูปลักษณ์
เสน่ห์ทางวาจาที่หยิบยกมาเป็นตัวอย่างเห็นภาพง่ายที่สุดคงได้แก่วิธีรบเร้าหรือวิธีตื๊อของแต่ละคน บางคนตื๊อแล้วน่ารัก แต่หลายคนตื๊อแล้วน่ารำคาญ ทั้งที่ก็เป็นการรบกวนผู้ฟังเหมือนๆ กัน นี่ก็เพราะบางคนเท่านั้นที่มีพลังเสน่ห์ทางวาจา ในขณะที่คนส่วนใหญ่ไม่มี
เสน่ห์ทางวาจามีองค์ประกอบหลายส่วน ซึ่งแต่ละส่วนก็เกิดจากกรรมเกี่ยวกับวาจาทั้งในอดีตและปัจจุบันรวมกันทั้งสิ้น องค์ประกอบหลักของเสน่ห์ทางวาจาจำแนกได้เป็น ๓ ส่วนดังนี้
๑) ความไพเราะของแก้วเสียง เกิดขึ้นจากความเป็นผู้มีวาจาสุจริต ทั้งพูดเรื่องจริงเท่าที่ควรพูด เลือกคำที่ฟังรื่นหูไม่หยาบคาย หาวิธีพูดประนีประนอมไม่เสียดสีใคร ตลอดจนครองสติในการพูดเพื่อประโยชน์ได้เสมอ องค์ประกอบหลักเหล่านี้จะปรุงแต่งแก้วเสียงให้ฟังดี ฟังเย็น และฟังมีพลังสะกด ถ้ายิ่งหมั่นสรรเสริญผู้ควรสรรเสริญ ตลอดจนเปล่งเสียงประกาศธรรมอันชอบโดยไม่เคอะเขิน แก้วเสียงก็จะเปล่งประกายสดใสเพราะพริ้งได้ตั้งแต่ชาติปัจจุบัน และไปปรากฏผลชัดที่สุดในชาติถัดมา น้ำเสียงและสำเนียงจะกลมกล่อมไม่บาดหูเลย (เว้นไว้แต่จะหลงผิด พูดจาเป็นอัปมงคลนานปีจนกำลังของวจีทุจริตใหม่ชนะกำลังของวจีสุจริตเก่า)
๒) ลูกเล่นในการจำนรรจา เกิดขึ้นจากความเป็นผู้ใส่ใจเจรจาให้น่าเอ็นดู เป็นที่ถูกใจ ทำความบันเทิงสดใสแก่ผู้ฟัง ยกตัวอย่างเช่นพวกชอบเล่านิทานให้เด็กฟัง ด้วยความหวังว่าเด็กจะได้สนุกสนาน ได้ข้อคิด และได้มองโลกในแง่ดีมีความอบอุ่น กรรมอันเกิดจากการฝึกเล่านิทานจริงจังจะบันดาลให้เกิดสัญชาตญาณในการมัดใจด้วยลีลาพูด คือรู้เองว่าด้วยลูกเล่นการออกเสียงสั้นยาว ลงเสียงหนักเบา ตลอดจนควบกล้ำอย่างไรให้ฟังน่ารักน่าใคร่ ชัดถ้อยชัดคำ พวกนี้ถ้าทำงานพากย์จะประสบความสำเร็จง่ายมาก และอาจจะไม่ต้องร่ำเรียนที่ไหนก็เก่งได้ยิ่งกว่ามืออาชีพที่คร่ำหวอดมานมนาน
๓) ความฉลาดเลือกคำ เกิดขึ้นจากความเป็นผู้คิดก่อนพูด ใช้สติในการง้างปากที่อ้ายาก ไม่ใช่ปล่อยให้อารมณ์บงการปากที่ไร้หูรูด ธรรมชาติของสตินั้น ยิ่งฝึกฝนให้เพิ่มมากขึ้นเท่าใด ปัญญาก็จะยิ่งทวีขึ้นเท่านั้น
คนที่ไม่ค่อยใส่ใจกับการพูดนั้น นอกจากจะขาดเสน่ห์ทางวาจาแล้ว ยังอาจก่อให้เกิดข้อน่ารังเกียจได้มากมาย เช่นคนพูดส่อเสียดและใส่ไคล้ผู้อื่นบ่อยๆมักมีกลิ่นปากเหม็นเน่า คนติดพูดคำหยาบคายกระโชกโฮกฮากมักมีสำเนียงเสียงไม่รื่นหูไม่ชวนฟัง เป็นต้น

Read More

เสน่ห์ทางกาย

เป็นเสน่ห์ที่เน้นพลังฝ่ายดึงดูดมากกว่าอย่างอื่น เช่นเห็นแล้วดึงดูดให้อยากมองนานๆ ยากจะถอนสายตา หรือกระทั่งอยากถลาเข้าไปลองสัมผัสให้ได้เดี๋ยวนั้น
เสน่ห์ทางกายปรากฏเด่นเห็นง่ายสุด จับต้องได้ง่ายสุด เพราะกายมนุษย์เปล่งประกายเสน่ห์ได้ผ่านความสมส่วนแห่งรูปพรรณสัณฐาน ตลอดจนความผ่องใสมีสง่าราศีแห่งผิวพรรณ ไม่จำเป็นต้องใช้เวลาหรือพิธีรีตองใดๆ ในการเปล่งประกายเสน่ห์ชนิดนี้ แค่ปรากฏตัวก็ใช้ได้แล้ว
ความเปล่งปลั่งชนิดบาดตาได้ตั้งแต่แรกพบนั้น เป็นผลอันเกิดจากการให้ทานที่ประกอบด้วยความเลื่อมใสอย่างแรงกล้า ไม่มีความขัดข้องทางใจเท่ายองใย โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากมีโอกาสถวายทานแด่พระพุทธเจ้าหรืออริยะสงฆ์สาวก แล้วรักษาความเลื่อมใสนั้นไว้ได้ตลอดชีวิต ก็จะมีความรุ่งเรืองปรากฏชัดทางผิวหนังตั้งแต่ในชาติแห่งทานนั้น แล้วปรากฏชัดเจนในชาติถัดมา ไม่ว่าจะเป็นเทพหรือมนุษย์
ความสมส่วนแห่งรูปพรรณสัณฐานจะเกิดจากความมีศีลสะอาดเป็นหลัก รายละเอียดและมิติของรูปร่างหน้าตาที่ล่อตาชวนตะลึง กลิ่นกายที่น่าพิสมัย ตลอดจนความละเอียดน่าสัมผัสของผิวหนังที่เหมาะกับเพศนั้น บันดาลขึ้นจากความสามารถในการ “งดเว้น” ความประพฤติทางกายและวาจาอันสกปรกเน่าเหม็นจนเคยชิน กระทั่งแม้ความคิดก็ไม่หลุดออกนอกกรอบของศีล พูดง่ายๆ ว่าเป็นผู้เคยมีศีลอันมั่นคงแข็งแรง จิตสะอาดสะอ้านจากมลทินยิ่ง จึงบันดาลให้เกิดผลงดงามไร้ที่ติ กระทบตาผู้คนแล้วชวนหลงไหลยิ่ง
คนที่ไม่ค่อยทำบุญกับบุคคลศักดิ์สิทธิ์หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์บ่อยๆ มักมีอำนาจเสน่ห์ทางกายน้อย เนื่องจากโอกาสที่จิตจะเปล่งประกายความเลื่อมใสอย่างแรงกล้าขณะทำบุญนั้นยากนัก

Read More

หญิงกับชาย...ใครร้ายกว่ากัน

คนที่กำลังโกรธมักจะตาขวาง พูดหยาบคาย เสียงดัง กำหมัด กัดฟัน หรือตัวสั่น ผู้ชายที่มีหนวดยาวสักหน่อย อาจโกรธจนหนวดกระดิก คนผิวขาวแบบฝรั่งหรือชาวญี่ปุ่น อาจโกรธจนหน้าแดง เรียกว่า เลือดขึ้นหน้า ส่วนคนผิวดำเวลาโกรธเลือดขึ้นหน้าเหมือนกัน แต่สีหน้าจะแดงไม่ชัด หากเห็นคนผิวคล้ำกำลังโกรธ อย่าไปจ้องมองว่าหน้าเขาเป็นสีอะไร เพราะอาจโดนเจ้าของใบหน้ายกหมัดทิ่มตาขี้สงสัยจนบวม หมดโอกาสดูสีหน้าใครๆ ไปอีกหลายวัน ความโกรธ ความก้าวร้าวหรือโทสะ จัดเป็นหนึ่งในสามของกิเลสตัวร้ายทางพุทธศาสนา เป็นยาพิษขนานเอกที่คอยกัดกร่อนจิตใจให้เป็นทุกข์อย่างไม่รู้จบสิ้น นอกจากจะทำให้ตนเองไม่มีความสุขแล้ว ยังพลอยทำให้คนแวดล้อมอยู่อย่างไม่สงบไปด้วย ความก้าวร้าวเกิดขึ้นได้กับทุกคน โดยไม่จำเป็นต้องเป็นคนป่วยทางจิตใจ และพบได้บ่อยพอๆ กับการแสดงความรัก ความห่วงใยต่อกัน ความก้าวร้าวอย่างรุนแรง เช่น

ฆาตกรรม การข่มขืน การประท้วงอย่างไม่สงบ การทำทารุณกรรมกับเด็กหรือผัวเมียตีกัน เป็นข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์อยู่เสมอ ความเจริญทางวัตถุทำให้เรามีความเป็นอยู่ดีขึ้น ในขณะเดียวกันความแออัดบวกกับการแข่งขันกันเพื่อปากท้อง ซึ่งติดตามความเจริญมาด้วย ก่อให้เกิดความเครียด อันเป็นสาเหตุประการหนึ่งของความก้าวร้าว นอกจากความเครียด ความหนาแน่นของประชากร และความแออัดของฝูงชนแล้ว ยังมีสาเหตุอีกหลายประการ ซึ่งกระตุ้นให้เกิดความก้าวร้าวขึ้น ได้แก่สถานการณ์บางอย่าง เช่น พบคนที่เกลียด ถูกทำให้เจ็บปวด การแข่งขัน หรือถูกแย่งตำแหน่ง การเสียหน้า ถูกกระทำอย่างไม่ยุติธรรม เห็นผู้อื่นกระทำสิ่งที่ไม่อยู่ในกฎเกณฑ์ ทำเพื่อปกป้อง การแย่งชิงเพศตรงข้าม หรือต้องการแสดงความเหนือว่า คนส่วนหนึ่งโดยเฉพาะผู้ใหญ่จะแสดงความก้าวร้าว กับคนในครอบครัวมากกว่าคนที่ไม่คุ้นเคย ส่วนวัยรุ่นจะก้าวร้าวกับคนแปลกหน้าค่อนข้างมาก อาจเป็นเพราะวัยรุ่นยังมีประสบการณ์น้อย จึงก้าวร้าวกับคนอื่นโดยไม่เลือกหน้าอินทร์หน้าพรหม แต่เมื่อเป็นผู้ใหญ่ได้เรียนรู้ว่าการแสดงความก้าวร้าว เป็นพฤติกรรมที่สังคมไม่ต้องการ จึงพยายามควบคุมเอาไว้ และสามารถทำได้กับคนแปลกหน้า แต่เมื่ออยู่กับคนในครอบครัว กลับไม่สามารถควบคุมเอาไว้ได้ คนที่โตมากับครอบครัวซึ่งมักแสดงความก้าวร้าวต่อกัน มีแนวโน้มเป็นคนก้าวร้าว อธิบายว่า เป็นผลจากกรรมพันธุ์พฤติกรรมเลียนแบบ และการเลี้ยงดูโดยมีการส่งเสริมพฤติกรรมก้าวร้าว อาจจะด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ทำให้พฤติกรรมนั้นเกิดซ้ำๆ เช่น ผู้ใหญ่คอยส่งเสียงเชียร์เด็กที่ถือไม้ไล่ตีแมว เมื่อเด็กตีถูกผู้ใหญ่ก็ส่งเสียงเฮ! ลั่น ตบไม้ตบมือชอบใจและชมเด็กว่าเก่ง เด็กจะเรียนรู้อย่างผิดๆ ว่า สิ่งที่ตนเองกำลังทำเป็นสิ่งดี เกิดความรู้สึกภาคภูมิใจ และจะทำซ้ำอีกเมื่อมีโอกาส นอกจากนั้นลักษณะครอบครัวที่ไม่ปรองดองกัน ครอบครัวแตกแยกโดยพ่อแม่แยกทางกันหรือหย่าร้าง มีการเสียชีวิตย้ายที่อยู่บ่อยมาก มีการทำทารุณกรรมเด็ก หรือผู้ปกครองติดสุราก็ทำให้เด็กมีแนวโน้มก้าวร้าวได้เมื่อโตขึ้น เครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นตัวชักนำให้เกิดความก้าวร้าว ได้อย่างร้ายกาจ พบว่าผู้ก่อคดีต่างๆ มากกว่าครึ่งหนึ่ง ได้ดื่มสุราเข้าไปก่อนก่ออาชญากรรมทั้งสิ้น ความจริงแล้วการดื่มแอลกอฮอล์ปริมาณน้อยๆ ทำให้เกิดความรู้สึกครึ้มหรืออารมณ์ดีได้ น่าเสียดายที่คนจำนวนมากมิได้หยุดดื่มเพียงแค่นั้น แต่กลับดื่มมากจนกระตุ้นให้เกิดความก้าวร้าวขึ้น ทั้งนี้เพราะแอลกอฮอล์จะลดความยับยั้งชั่งใจ ทำให้การควบคุมอารมณ์ไม่ดีพอ การตัดสินใจเรื่องต่างๆ จึงเสียไป สารเสพติดและยาบางชนิดก็ทำให้เกิดความก้าวร้าวได้ โดยกลไกที่คล้ายๆ กัน ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำเป็นสาเหตุของความก้าวร้าวได้เช่นกัน ตัวอย่างที่ได้ยินบ่อยๆ ได้แก่ ความโมโหหิวในนิยายพื้นบ้านเรื่อง ก่องข้าวน้อยฆ่าแม่ ความเจ็บป่วยบางอย่าง เช่น โรคลมชัก ปัญญาอ่อน โรคจิตเภท โรคอารมณ์แปรปรวน (AFFECTIVE DISORDERS) และอีกหลายโรคเป็นต้นแหตุของความก้าวร้าวได้ในบางช่วงของอาการ นอกจากนั้นสภาพแวดล้อมบางอย่างสามารถกระตุ้น ให้เกิดความก้าวร้าวขึ้นได้ เช่น ความร้อน การมีอาวุธอยู่ใกล้หรือในมือ โดยเฉพาะปืน ตัวอย่างเหตุการณ์ "พฤษภาทมิฬ" เป็นอุทาหรณ์ได้เป็นอย่างดี สาเหตุสำคัญอีกอย่างหนึ่งซึ่งเกี่ยวข้องกับความก้าวร้าว และนำไปสู่ชื่อเรื่อง "หญิงกับชาย...ใครร้ายกว่ากัน" ได้แก่เพศที่แตกต่างกัน เด็กผู้ชายมักก้าวร้าวมากกว่าเด็กผู้หญิง เห็นได้ว่าเด็กผู้ชายจะเล่นรุนแรงมีลักษณะในทางทำลายของ วิ่งและกระโดดมากกว่าเด็กผู้หญิง เพศที่ต่างกันอาจเป็นตัวกำหนดการเกิดความก้าวร้าว แต่ในขณะเดียวกันความคาดหวังจากสังคมว่า เพศหญิงจะต้องนุ่มนวลและเรียบร้อยกว่า ก็มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมของเด็กไม่น้อย เมื่อโตเป็นผู้ใหญ่ลักษณะก้าวร้าวในเพศชายที่มากกว่าจะปรากฏชัดขึ้น โดยดูจากสถิติอาชญากรรมทั้งหลายที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่ด้วยน้ำมือของผู้ชาย แต่เป็นที่น่าประหลาดใจเมื่อพบว่า หากเป็นเรื่องเกี่ยวกับภายในครอบครัวแล้ว สถิติของคดีสามีทำร้ายภรรยาหรือภรรยาทำร้ายสามีมีมากพอๆ กันแสดงว่าหากเป็นเรื่องนอกบ้านเพศหญิงไม่อยากยุ่ง แต่ถ้าเป็นเรื่องในบ้านแล้วละก็เห็นจะยอมกันยากสักหน่อย มีการสงสัยว่าฮอร์โมนเพศชายจะเป็นตัวก่อให้เกิดความก้าวร้าว ในประเทศแถบสแกนดิเนเวียเมื่อประมาณ 60-70 ปีก่อน เคยมีการลงโทษโดยการตอนผู้ชายที่ก่อคดีรุนแรง โดยเฉพาะคดีทางเพศ พบว่าวิธีนี้สามารถลดความก้าวร้าวได้เป็นอย่างดี นอกจากนั้นยังเคยมีการทดลองให้ฮอร์โมนเพศหญิงกับผู้ชายที่ก่อคดีก้าวร้าว พบว่าสามารถลดความก้าวร้าวลงได้มากเช่นกัน แสดงว่าฮอร์โมนเพศชายเกี่ยวข้องกับความก้าวร้าวจริงๆ อย่างไรก็ตาม พบว่าบางช่วงเวลาเพศหญิงก็ก้าวร้าวไม่น้อยเหมือนกัน เช่น ในช่วงวันก่อนมีรอบเดือน ผู้หญิงจะมีอารมณ์เปลี่ยนแปลงง่าย หงุดหงิด และมีโอกาสก้าวร้าวเพิ่มขึ้นกว่าช่วงอื่นๆ อาจเป็นเพราะมีการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในร่างกาย มีอาการไม่สบายเนื้อสบายตัวบางอย่างบวกกับความรู้สึกรำคาญ จึงเป็นเหตุให้จิตใจถูกระทบกระทั่งได้ง่าย มีรายงานทางวิชาการเมื่อสิบกว่าปีก่อน แสดงถึงสถิติอาชญากรรมในประเทศญี่ปุ่นซึ่งเกิดขึ้นน้อยมาก โดยผู้รายงานเป็นฝรั่งและชาวญี่ปุ่น ได้ให้เหตุผลว่า เป็นเพราะมีความก้าวร้าวในสังคมต่ำมาก และเสนอเหตุผลว่า
ประการแรก ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีความเป็นชนชาติเดียวกัน เป็นส่วนใหญ่ ประเทศอื่นๆ ส่วนมากมีประชากรหลายชนชาติหลายเผ่า ทำให้ภาษา วัฒนธรรมและขนบธรรมเนียมประเพณีแตกต่างกันไป ก่อให้เกิดความไม่เข้าใจความขัดแย้ง และความก้าวร้าวตามมาได้โดยง่าย
ประการที่สอง ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีภัยธรรมชาติมาก เช่น แผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด และพายุจากทะเล ทำให้ประประชาชนต้องร่วมมือกันเพื่อต่อสู้ให้รอดพ้นจากภัยพิบัติต่างๆ เป็นเหตุให้เกิดความรักความสามัคคีต่อกันมาก
ประการที่สาม โดยเฉลี่ยญี่ปุ่นมีการจัดระเบียบ ภายในหน่วยงานหรือบริษัทต่างๆ ดีมากทำให้เกิดความขัดแย้งกันน้อย
และประการสุดท้าย การเลี้ยงดูบุตรของชาวญี่ปุ่น จากยุคโบราณมีลักษณะพิเศษ เด็กจะได้รับความอบอุ่น เนื่องจากอยู่ใกล้ชิดมารดามาก โดยมารดาจะเอาลูกผูกโอบไว้ที่หลัง ในเวลาทำงานหรือไปไหนมาไหนเด็กจึงไม่ถูกทอดทิ้งไว้นาน เมื่อหิว และเด็กจะนอนกับพ่อแม่จนกระทั่งโต มีการลงโทษ และตำหนิน้อยมาก แต่จะใช้วิธีล่อใจด้วยของเล่นหรือขนมหวาน ทำให้เด็กกระดากอายกับพฤติกรรมไม่ดีของตัวเอง เมื่อเด็กโตขึ้นจะควบคุมความก้าวร้าวได้ดีเพราะกลัวทำให้ครอบครัว และพ่อแม่ขายหน้า อย่างไรก็ตามรายงานเรื่องนี้ผ่านมาแล้วสิบกว่าปี เชื่อว่าในปัจจุบันสังคมญี่ปุ่นคงเปลี่ยนไปไม่น้อย โอกาสที่เด็กญี่ปุ่นจะได้เติบโตบนหลังของมารดาอย่างเมื่อก่อนคงมีไม่มาก ถึงแม้ว่ารายงานนี้จะไม่ใหม่นักแต่ก็มีหลายๆ จุดที่น่าสนใจเช่น การที่เด็กได้รับความอบอุ่นมากเป็นปัจจัยหนึ่ง ซึ่งทำให้เด็กโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีความก้าวร้าวน้อย การให้รางวัลโดยใช้ของเล่นหรือขนมล่อใจเพื่อให้เกิดพฤติกรรมที่ดี จะได้ผลดีกว่าการลงโทษกับพฤติกรรมที่ไม่ดี ประการสุดท้าย คือ ความเป็นชนชาติเดียวกันภายในประเทศ เป็นปัจจัยหนึ่งซึ่งช่วยป้องกันการเกิดความขัดแย้งและความก้าวร้าว ทำให้ย้อนกลับมามองประเทศของเราเองซึ่งมีหลายเชื้อชาติ หลายศาสนา หรือแม้แต่ผู้ที่ถือเชื้อชาติไทย ศาสนาพุทธซึ่งเป็นคนส่วนมาก ก็ยังมีความแตกต่างกันในหลายๆ ด้าน ยกตัวอย่างภาษาที่ต่างกันของชาวเหนือ ชาวอีสานและคนภาคกลาง เพราะฉะนั้นการจะเปลี่ยนให้คนทั้งชาติ กลายเป็นชนชาติเดียวกันจึงเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ต้องแก้ด้วยการช่วยกันสร้างความรู้สึกให้เกิดขึ้นว่า เป็นคนไทยด้วยกันใต้ผืนธงเดียวกันซึ่งเป็นหน้าที่ของคนไทยทุกคน การลดความก้าวร้าวทางอื่น ต้องดูจากสาเหตุหลายประการ ที่ได้กล่าวถึงมาตั้งแต่ต้น สาเหตุบางประการเป็นเรื่องที่แก้ไขไม่ได้ ยกตัวอย่างเช่น เราแก้ไขสาเหตุทางพันธุกรรมไม่ได้ และเราบังคับให้ฮอร์โมนเพศหญิงกับผู้ชายเพื่อหวังให้ผู้ชาย ลดความก้าวร้าวลงไม่ได้ ด้วยว่าจะมีแต่ผู้ชายตุ้งติ๋งเต็มไปหมด จึงเหลือปัจจัยที่พอจะแก้ไขได้คือ ลดการใช้เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ลง และช่วยกันเปลี่ยนค่านิยมของการดื่มแอลกอฮอล์เสีย สร้างความรัก ความปองดองภายในครอบครัวให้มีมากขึ้น โดยผู้ปกครองจะต้องมีสัมพันธภาพที่ดีต่อกัน และมีความรู้เกี่ยวกับสุขภาพจิตของครอบครัวให้ดีพอ หนทางสุดท้ายในการลดความก้าวร้าวคือ สามารปฏิบัติตามคำสอนของศาสนา เช่น พรหมวิหารสี่ของพุทธศาสนา ที่ว่าด้วย เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา หรือคำสอนของชาวคริสต์ว่า จงรักศัตรูของท่านหากถูกตบแก้มขวา จงเอียงแก้มซ้ายให้เขาตบอีก
แล้วเราคงได้เห็นรอยยิ้มกว้างให้แก่กันมากๆ มาทดแทนภาพคนที่กำลังตาขวาง กำหมัด กัดฟัน หรือเม้มปากจนหนวดกระดิก

Read More

หญิงกับชาย...ใครร้ายกว่ากัน

คนที่กำลังโกรธมักจะตาขวาง พูดหยาบคาย เสียงดัง กำหมัด กัดฟัน หรือตัวสั่น ผู้ชายที่มีหนวดยาวสักหน่อย อาจโกรธจนหนวดกระดิก คนผิวขาวแบบฝรั่งหรือชาวญี่ปุ่น อาจโกรธจนหน้าแดง เรียกว่า เลือดขึ้นหน้า ส่วนคนผิวดำเวลาโกรธเลือดขึ้นหน้าเหมือนกัน แต่สีหน้าจะแดงไม่ชัด หากเห็นคนผิวคล้ำกำลังโกรธ อย่าไปจ้องมองว่าหน้าเขาเป็นสีอะไร เพราะอาจโดนเจ้าของใบหน้ายกหมัดทิ่มตาขี้สงสัยจนบวม หมดโอกาสดูสีหน้าใครๆ ไปอีกหลายวัน ความโกรธ ความก้าวร้าวหรือโทสะ จัดเป็นหนึ่งในสามของกิเลสตัวร้ายทางพุทธศาสนา เป็นยาพิษขนานเอกที่คอยกัดกร่อนจิตใจให้เป็นทุกข์อย่างไม่รู้จบสิ้น นอกจากจะทำให้ตนเองไม่มีความสุขแล้ว ยังพลอยทำให้คนแวดล้อมอยู่อย่างไม่สงบไปด้วย ความก้าวร้าวเกิดขึ้นได้กับทุกคน โดยไม่จำเป็นต้องเป็นคนป่วยทางจิตใจ และพบได้บ่อยพอๆ กับการแสดงความรัก ความห่วงใยต่อกัน ความก้าวร้าวอย่างรุนแรง เช่น

ฆาตกรรม การข่มขืน การประท้วงอย่างไม่สงบ การทำทารุณกรรมกับเด็กหรือผัวเมียตีกัน เป็นข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์อยู่เสมอ ความเจริญทางวัตถุทำให้เรามีความเป็นอยู่ดีขึ้น ในขณะเดียวกันความแออัดบวกกับการแข่งขันกันเพื่อปากท้อง ซึ่งติดตามความเจริญมาด้วย ก่อให้เกิดความเครียด อันเป็นสาเหตุประการหนึ่งของความก้าวร้าว นอกจากความเครียด ความหนาแน่นของประชากร และความแออัดของฝูงชนแล้ว ยังมีสาเหตุอีกหลายประการ ซึ่งกระตุ้นให้เกิดความก้าวร้าวขึ้น ได้แก่สถานการณ์บางอย่าง เช่น พบคนที่เกลียด ถูกทำให้เจ็บปวด การแข่งขัน หรือถูกแย่งตำแหน่ง การเสียหน้า ถูกกระทำอย่างไม่ยุติธรรม เห็นผู้อื่นกระทำสิ่งที่ไม่อยู่ในกฎเกณฑ์ ทำเพื่อปกป้อง การแย่งชิงเพศตรงข้าม หรือต้องการแสดงความเหนือว่า คนส่วนหนึ่งโดยเฉพาะผู้ใหญ่จะแสดงความก้าวร้าว กับคนในครอบครัวมากกว่าคนที่ไม่คุ้นเคย ส่วนวัยรุ่นจะก้าวร้าวกับคนแปลกหน้าค่อนข้างมาก อาจเป็นเพราะวัยรุ่นยังมีประสบการณ์น้อย จึงก้าวร้าวกับคนอื่นโดยไม่เลือกหน้าอินทร์หน้าพรหม แต่เมื่อเป็นผู้ใหญ่ได้เรียนรู้ว่าการแสดงความก้าวร้าว เป็นพฤติกรรมที่สังคมไม่ต้องการ จึงพยายามควบคุมเอาไว้ และสามารถทำได้กับคนแปลกหน้า แต่เมื่ออยู่กับคนในครอบครัว กลับไม่สามารถควบคุมเอาไว้ได้ คนที่โตมากับครอบครัวซึ่งมักแสดงความก้าวร้าวต่อกัน มีแนวโน้มเป็นคนก้าวร้าว อธิบายว่า เป็นผลจากกรรมพันธุ์พฤติกรรมเลียนแบบ และการเลี้ยงดูโดยมีการส่งเสริมพฤติกรรมก้าวร้าว อาจจะด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ทำให้พฤติกรรมนั้นเกิดซ้ำๆ เช่น ผู้ใหญ่คอยส่งเสียงเชียร์เด็กที่ถือไม้ไล่ตีแมว เมื่อเด็กตีถูกผู้ใหญ่ก็ส่งเสียงเฮ! ลั่น ตบไม้ตบมือชอบใจและชมเด็กว่าเก่ง เด็กจะเรียนรู้อย่างผิดๆ ว่า สิ่งที่ตนเองกำลังทำเป็นสิ่งดี เกิดความรู้สึกภาคภูมิใจ และจะทำซ้ำอีกเมื่อมีโอกาส นอกจากนั้นลักษณะครอบครัวที่ไม่ปรองดองกัน ครอบครัวแตกแยกโดยพ่อแม่แยกทางกันหรือหย่าร้าง มีการเสียชีวิตย้ายที่อยู่บ่อยมาก มีการทำทารุณกรรมเด็ก หรือผู้ปกครองติดสุราก็ทำให้เด็กมีแนวโน้มก้าวร้าวได้เมื่อโตขึ้น เครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นตัวชักนำให้เกิดความก้าวร้าว ได้อย่างร้ายกาจ พบว่าผู้ก่อคดีต่างๆ มากกว่าครึ่งหนึ่ง ได้ดื่มสุราเข้าไปก่อนก่ออาชญากรรมทั้งสิ้น ความจริงแล้วการดื่มแอลกอฮอล์ปริมาณน้อยๆ ทำให้เกิดความรู้สึกครึ้มหรืออารมณ์ดีได้ น่าเสียดายที่คนจำนวนมากมิได้หยุดดื่มเพียงแค่นั้น แต่กลับดื่มมากจนกระตุ้นให้เกิดความก้าวร้าวขึ้น ทั้งนี้เพราะแอลกอฮอล์จะลดความยับยั้งชั่งใจ ทำให้การควบคุมอารมณ์ไม่ดีพอ การตัดสินใจเรื่องต่างๆ จึงเสียไป สารเสพติดและยาบางชนิดก็ทำให้เกิดความก้าวร้าวได้ โดยกลไกที่คล้ายๆ กัน ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำเป็นสาเหตุของความก้าวร้าวได้เช่นกัน ตัวอย่างที่ได้ยินบ่อยๆ ได้แก่ ความโมโหหิวในนิยายพื้นบ้านเรื่อง ก่องข้าวน้อยฆ่าแม่ ความเจ็บป่วยบางอย่าง เช่น โรคลมชัก ปัญญาอ่อน โรคจิตเภท โรคอารมณ์แปรปรวน (AFFECTIVE DISORDERS) และอีกหลายโรคเป็นต้นแหตุของความก้าวร้าวได้ในบางช่วงของอาการ นอกจากนั้นสภาพแวดล้อมบางอย่างสามารถกระตุ้น ให้เกิดความก้าวร้าวขึ้นได้ เช่น ความร้อน การมีอาวุธอยู่ใกล้หรือในมือ โดยเฉพาะปืน ตัวอย่างเหตุการณ์ "พฤษภาทมิฬ" เป็นอุทาหรณ์ได้เป็นอย่างดี สาเหตุสำคัญอีกอย่างหนึ่งซึ่งเกี่ยวข้องกับความก้าวร้าว และนำไปสู่ชื่อเรื่อง "หญิงกับชาย...ใครร้ายกว่ากัน" ได้แก่เพศที่แตกต่างกัน เด็กผู้ชายมักก้าวร้าวมากกว่าเด็กผู้หญิง เห็นได้ว่าเด็กผู้ชายจะเล่นรุนแรงมีลักษณะในทางทำลายของ วิ่งและกระโดดมากกว่าเด็กผู้หญิง เพศที่ต่างกันอาจเป็นตัวกำหนดการเกิดความก้าวร้าว แต่ในขณะเดียวกันความคาดหวังจากสังคมว่า เพศหญิงจะต้องนุ่มนวลและเรียบร้อยกว่า ก็มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมของเด็กไม่น้อย เมื่อโตเป็นผู้ใหญ่ลักษณะก้าวร้าวในเพศชายที่มากกว่าจะปรากฏชัดขึ้น โดยดูจากสถิติอาชญากรรมทั้งหลายที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่ด้วยน้ำมือของผู้ชาย แต่เป็นที่น่าประหลาดใจเมื่อพบว่า หากเป็นเรื่องเกี่ยวกับภายในครอบครัวแล้ว สถิติของคดีสามีทำร้ายภรรยาหรือภรรยาทำร้ายสามีมีมากพอๆ กันแสดงว่าหากเป็นเรื่องนอกบ้านเพศหญิงไม่อยากยุ่ง แต่ถ้าเป็นเรื่องในบ้านแล้วละก็เห็นจะยอมกันยากสักหน่อย มีการสงสัยว่าฮอร์โมนเพศชายจะเป็นตัวก่อให้เกิดความก้าวร้าว ในประเทศแถบสแกนดิเนเวียเมื่อประมาณ 60-70 ปีก่อน เคยมีการลงโทษโดยการตอนผู้ชายที่ก่อคดีรุนแรง โดยเฉพาะคดีทางเพศ พบว่าวิธีนี้สามารถลดความก้าวร้าวได้เป็นอย่างดี นอกจากนั้นยังเคยมีการทดลองให้ฮอร์โมนเพศหญิงกับผู้ชายที่ก่อคดีก้าวร้าว พบว่าสามารถลดความก้าวร้าวลงได้มากเช่นกัน แสดงว่าฮอร์โมนเพศชายเกี่ยวข้องกับความก้าวร้าวจริงๆ อย่างไรก็ตาม พบว่าบางช่วงเวลาเพศหญิงก็ก้าวร้าวไม่น้อยเหมือนกัน เช่น ในช่วงวันก่อนมีรอบเดือน ผู้หญิงจะมีอารมณ์เปลี่ยนแปลงง่าย หงุดหงิด และมีโอกาสก้าวร้าวเพิ่มขึ้นกว่าช่วงอื่นๆ อาจเป็นเพราะมีการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในร่างกาย มีอาการไม่สบายเนื้อสบายตัวบางอย่างบวกกับความรู้สึกรำคาญ จึงเป็นเหตุให้จิตใจถูกระทบกระทั่งได้ง่าย มีรายงานทางวิชาการเมื่อสิบกว่าปีก่อน แสดงถึงสถิติอาชญากรรมในประเทศญี่ปุ่นซึ่งเกิดขึ้นน้อยมาก โดยผู้รายงานเป็นฝรั่งและชาวญี่ปุ่น ได้ให้เหตุผลว่า เป็นเพราะมีความก้าวร้าวในสังคมต่ำมาก และเสนอเหตุผลว่า
ประการแรก ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีความเป็นชนชาติเดียวกัน เป็นส่วนใหญ่ ประเทศอื่นๆ ส่วนมากมีประชากรหลายชนชาติหลายเผ่า ทำให้ภาษา วัฒนธรรมและขนบธรรมเนียมประเพณีแตกต่างกันไป ก่อให้เกิดความไม่เข้าใจความขัดแย้ง และความก้าวร้าวตามมาได้โดยง่าย
ประการที่สอง ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีภัยธรรมชาติมาก เช่น แผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด และพายุจากทะเล ทำให้ประประชาชนต้องร่วมมือกันเพื่อต่อสู้ให้รอดพ้นจากภัยพิบัติต่างๆ เป็นเหตุให้เกิดความรักความสามัคคีต่อกันมาก
ประการที่สาม โดยเฉลี่ยญี่ปุ่นมีการจัดระเบียบ ภายในหน่วยงานหรือบริษัทต่างๆ ดีมากทำให้เกิดความขัดแย้งกันน้อย
และประการสุดท้าย การเลี้ยงดูบุตรของชาวญี่ปุ่น จากยุคโบราณมีลักษณะพิเศษ เด็กจะได้รับความอบอุ่น เนื่องจากอยู่ใกล้ชิดมารดามาก โดยมารดาจะเอาลูกผูกโอบไว้ที่หลัง ในเวลาทำงานหรือไปไหนมาไหนเด็กจึงไม่ถูกทอดทิ้งไว้นาน เมื่อหิว และเด็กจะนอนกับพ่อแม่จนกระทั่งโต มีการลงโทษ และตำหนิน้อยมาก แต่จะใช้วิธีล่อใจด้วยของเล่นหรือขนมหวาน ทำให้เด็กกระดากอายกับพฤติกรรมไม่ดีของตัวเอง เมื่อเด็กโตขึ้นจะควบคุมความก้าวร้าวได้ดีเพราะกลัวทำให้ครอบครัว และพ่อแม่ขายหน้า อย่างไรก็ตามรายงานเรื่องนี้ผ่านมาแล้วสิบกว่าปี เชื่อว่าในปัจจุบันสังคมญี่ปุ่นคงเปลี่ยนไปไม่น้อย โอกาสที่เด็กญี่ปุ่นจะได้เติบโตบนหลังของมารดาอย่างเมื่อก่อนคงมีไม่มาก ถึงแม้ว่ารายงานนี้จะไม่ใหม่นักแต่ก็มีหลายๆ จุดที่น่าสนใจเช่น การที่เด็กได้รับความอบอุ่นมากเป็นปัจจัยหนึ่ง ซึ่งทำให้เด็กโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีความก้าวร้าวน้อย การให้รางวัลโดยใช้ของเล่นหรือขนมล่อใจเพื่อให้เกิดพฤติกรรมที่ดี จะได้ผลดีกว่าการลงโทษกับพฤติกรรมที่ไม่ดี ประการสุดท้าย คือ ความเป็นชนชาติเดียวกันภายในประเทศ เป็นปัจจัยหนึ่งซึ่งช่วยป้องกันการเกิดความขัดแย้งและความก้าวร้าว ทำให้ย้อนกลับมามองประเทศของเราเองซึ่งมีหลายเชื้อชาติ หลายศาสนา หรือแม้แต่ผู้ที่ถือเชื้อชาติไทย ศาสนาพุทธซึ่งเป็นคนส่วนมาก ก็ยังมีความแตกต่างกันในหลายๆ ด้าน ยกตัวอย่างภาษาที่ต่างกันของชาวเหนือ ชาวอีสานและคนภาคกลาง เพราะฉะนั้นการจะเปลี่ยนให้คนทั้งชาติ กลายเป็นชนชาติเดียวกันจึงเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ต้องแก้ด้วยการช่วยกันสร้างความรู้สึกให้เกิดขึ้นว่า เป็นคนไทยด้วยกันใต้ผืนธงเดียวกันซึ่งเป็นหน้าที่ของคนไทยทุกคน การลดความก้าวร้าวทางอื่น ต้องดูจากสาเหตุหลายประการ ที่ได้กล่าวถึงมาตั้งแต่ต้น สาเหตุบางประการเป็นเรื่องที่แก้ไขไม่ได้ ยกตัวอย่างเช่น เราแก้ไขสาเหตุทางพันธุกรรมไม่ได้ และเราบังคับให้ฮอร์โมนเพศหญิงกับผู้ชายเพื่อหวังให้ผู้ชาย ลดความก้าวร้าวลงไม่ได้ ด้วยว่าจะมีแต่ผู้ชายตุ้งติ๋งเต็มไปหมด จึงเหลือปัจจัยที่พอจะแก้ไขได้คือ ลดการใช้เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ลง และช่วยกันเปลี่ยนค่านิยมของการดื่มแอลกอฮอล์เสีย สร้างความรัก ความปองดองภายในครอบครัวให้มีมากขึ้น โดยผู้ปกครองจะต้องมีสัมพันธภาพที่ดีต่อกัน และมีความรู้เกี่ยวกับสุขภาพจิตของครอบครัวให้ดีพอ หนทางสุดท้ายในการลดความก้าวร้าวคือ สามารปฏิบัติตามคำสอนของศาสนา เช่น พรหมวิหารสี่ของพุทธศาสนา ที่ว่าด้วย เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา หรือคำสอนของชาวคริสต์ว่า จงรักศัตรูของท่านหากถูกตบแก้มขวา จงเอียงแก้มซ้ายให้เขาตบอีก
แล้วเราคงได้เห็นรอยยิ้มกว้างให้แก่กันมากๆ มาทดแทนภาพคนที่กำลังตาขวาง กำหมัด กัดฟัน หรือเม้มปากจนหนวดกระดิก

Read More

Friday, March 26, 2010

รูปในหลวง

Read More

หน้าใสจากท้ายครัว

บำรุงรักษาผิวหน้าให้อ่อนวัยด้วยส่วนประกอบที่หาได้ง่ายๆจากตลาด หรือท้ายครัวที่บ้าน
- ทาวุ้นจากว่านหางจระเข้ทุกวันหลังจากตื่นนอนตอนเช้า และก่อนนอน สำหรับผู้ที่มีใบหน้าแห้งมาก ให้ผสมน้ำมันมะกอก หรือครีมทาหน้ากับว่านหางจระเข้
- นำใบบัวบกสดๆ มาปั่น จากนั้นใช้สำลีชุบน้ำใบบัวบกที่ได้มาพอกไว้บนหน้า ประมาณ 15 นาที ทำทุกวันก่อนนอน ช่วยชะลอความแก่ รักษาแผลเป็น ใบบัวบกช่วยในการสร้างเนื้ออ่อนขึ้นมาได้ และลดการอักเสบ
- ใช้มะขามเปียกหนึ่งกำมือ เอารกออก ล้างหน้าให้สะอาด ผสมกับนมสด 2 ช้อนโต๊ะ ขยำให้เข้ากัน นำมากรองด้วยผ้าขาวบาง แล้วเติมน้ำผึ้งหนึ่งช้อนโต๊ะผสมให้เข้ากัน นำมาทาหน้า ทิ้งไว้ 5 นาที ล้างน้ำออก ควรทำวันละครั้งก่อนนอน

Read More

ผิวสวยด้วยคอลลาเจน

คอลลาเจน คือ โปรตีนที่เป็นส่วนประกอบหลักของผิวหนังของร่างกาย
ซึ่งสานกันเป็นเครือข่ายชั้นผิวหนัง และเป็นโปรตีนสำคัญต่อความแข็งแรง
ของผนังหลอดเลือด และช่วยสร้างความตึงกระชับให้ผิว โดยจะทำงานร่วมกับ
โปรตีนอีกชนิดหนึ่งที่เรียกว่า อีลาสติน
ปัจจัยที่ทำให้เกิดการสลายตัวของคอลลาเจน คือ อนุมูลอิสระที่เกิดจากมลพิษต่างๆ
เช่น บุหรี่ แสงแดด สารปนเปื้อนในอาหาร และจากการเผาผลาญอาหารในร่างกาย
ไปจนถึงการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในร่างกาย และเมื่ออายุ 20 ปีขึ้นไป
การผลิตคอลลาเจนในร่างกายจะลดลงเรื่อยๆ ตามอายุที่เพิ่มขึ้น เมื่อขาดคอลลาเจน
ผิวพรรณที่เคยเต่งตึงจะเริ่มหย่อนคล้อย มีริ้วรอยเพิ่มมากขึ้น ความยืดหยุ่น
และความชุ่มชื้นของผิวลดลง
การเติมคอลลาเจนให้กับผิวเพื่อหวังผลในการชะลอริ้วรอย ในวงการแพทย์สามารถ
ทำได้โดยการฉีดคอลลาเจนโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ส่วนในเครื่องสำอางก็มีการนำ
คอลลาเจนไปผสม สังเกตได้จากฉลากที่ระบุส่วนผสมของ ไฮโดรไลซ์
คอลลาเจนไฮโดรไลซ์ อีลาสติน โปรคอลลาเจน เอเอชเอ
นอกจากนั้นการรับประทานอาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระต่างๆ
ซึ่งจะช่วยชะลอการสลายตัวของคอลลาเจน
และช่วยลดการเกิดมะเร็งในร่างกายอีกด้วย
สารต้านอนุมูลอิสระเหล่านี้ก็ได้แก่ เบต้าแคโรทีน วิตามินซี วิตามินอี ซึ่งเป็นสารที่มีประสิทธิภาพสูง
ในการกำจัดอนุมูลอิสระมีคุณสมบัติเพิ่มความแข็งแรง
ของเนื้อเยื่อคอลลาเจนและอีลาสติน

Read More

บำรุงรักษาดวงตา ราคาประหยัด

มีวิธีง่ายๆที่สามารถทำได้เองไม่ยากเลย ดังนี้
1.พักดวงตา โดยใช้ใบชาซึ่งมีตัวยาที่จะช่วยให้ดวงตาได้พัก และหล่อเลี้ยงความเย็นเข้าไปได้ ถ้าเป็นใบชาที่ห่อไว้ในผ้าบาง และมีด้ายผูกดึงออกมา ให้อุ่นถุงใบชานั้นแล้วนำมาปิดที่ดวงตาทั้งสองข้าง ในราว 2-3 นาทีจึงเอาออก
2.ตาบวม มีวิธีแก้ไขคือบดมันฝรั่งประมาณ 4 ช้อนชา แล้วประคบบนเปลือกตาและบริเวณรอบๆราว 15 นาที หลังจากนั้นล้างออกด้วยน้ำเย็น
3.รอยช้ำใต้หนังตา ชงน้ำชารสเข้มๆสัก 7 ถ้วย แช่แผ่นผ้าขาวลงในถ้วยน้ำชานั้นก่อนนำมาประคบเปลือกตา รอยช้ำนั้นจะค่อยๆหายไป
4.รอยเส้นใต้ขอบตา แช่ผ้าเช็ดหน้าโปร่งบางลงในน้ำชารสเข้มแล้วผึ่งให้หมาดเล็กน้อย ก่อนนำมาลูบไล้บริเวณรอบดวงตาและที่รอยเส้น ประคบไว้ประมาณ 30 นาที แล้วจึงเปิดออก

Read More

ครีมพอกหน้าลบรอยย่นสูตรเด็ด

ไม่จำเป็นต้องเป็นครีมราคาแพงเลย เพียงผสมแป้งข้าวเจ้า กับนมระเหยผสมกันพอเป็นแป้งเปียกข้นๆ ทาหน้าและทิ้งไว้จนแห้ง ก็จะแข็ง แล้วล้างด้วยน้ำเย็น ส่องกระจกดูจะเห็นว่าหน้าคุณเกลี้ยงเกลา

Read More

น้ำมะนาว รักษาสิว

น้ำมะนาว รักษาสิวด้วย"วิธีธรรมชาติ" ... หาได้จากตู้เย็นในครัวที่บ้าน

ใช้น้ำมะนาวเพื่อบรรเทา / รักษาสิว เป็นวิธีธรรมชาติในการรักษาสิวที่ง่ายและปลอดภัย

สามารถใช้ได้ทั้งทาบนผิวและดื่ม ทั้งสองวิธีจะช่วยลดการเกิดสิวและรอยแผลเป็นทั้งภายนอกและภายใน

ได้มีทดลองใช้น้ำมะนาวทั้งสองวิธีแล้ว (ทาโดยตรงบนผิวหน้า และดื่ม) และพบว่าภายใน 3 สัปดาห์ สิวก็ลดลงอย่างเห็นได้ชัด และเชื่อว่าการผสมน้ำมะนาวกับผลิตภัณฑ์ล้างหน้าที่อ่อนโยน จะช่วยให้ผลเร็วขึ้น

ทาน้ำมะนาวโดยตรงบนสิว

น้ำมะนาวมีกรดผลไม้ AHA หรือ Alpha Hydroxy Acids ทำงานโดยการลอกเอาเซลล์ผิวที่ตายแล้วออก ช่วยสร้างความยืดหยุ่นให้แก่ผิว และช่วยให้เซลล์ผิวใหม่ที่อยู่ด้านล่างได้ผลัดขึ้นมาแทนที่เซลล์ผิวเก่าที่ตายแล้ว ยังช่วยชำระรูขุมขนและช่วยให้ผิวรู้สึกสดชื่น สดใสด้วย

สูตรน้ำมะนาว / วิธีใช้

1.ล้างหน้าให้สะอาด

2.บีบน้ำมะนาว 1 ช้อนชาในถ้วยเล็ก ใช้สำลีจุ่มน้ำมะนาวพอเปียก อาจผสมน้ำหากรู้สึกว่าแสบเกินไป

3.ป้ายน้ำมะนาวลงบนสิว สิวหัวขาว สิวหัวดำ สิวหัวหนอง

4.ทิ้งไว้ทั้งคืนโดยไม่ต้องล้างออก ล้างออกตอนเช้า และทาอีกครั้งก่อนเมคอัพ (หากคุณต้องใช้เมคอัพ)

5.หากรู้สึกว่าน้ำมะนาวนั้นแรงเกินไป แม้ว่าจะผสมน้ำให้เจือจางแล้วก็ตาม ให้ทิ้งไว้ 10 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำเย็น

วิธีการนี้ใช้เวลา 2 สัปดาห์เป็นอย่างต่ำจึงจะเห็นผล

ดื่มน้ำมะนาวเพื่อรักษาสิว

สามารถใช้วิธีการดื่มน้ำมะนาวเพื่อรักษาและทำความสะอาดภายในร่างกาย หรือขจัดสารพิษออกจากตับ และเพื่อให้การดูดซึมแร่ธาตุและวิตามินที่จำเป็นต่อร่างกาย น้ำมะนาวนั้นเป็นเครื่องดื่มชนิดหนึ่งที่ให้ประโยชน์ต่อร่างกายและผิวพรรณ ที่ช่วยให้กระชุ่มกระชวย ดื่มง่าย และทำได้ง่าย

ความจริงแล้วการรักษาสิวด้วยการดื่มน้ำมะนาวนั้นมีประโยชน์หลายอย่าง ที่ทุกคนควรดื่ม (สำหรับคนที่ไม่แพ้มะนาว) ประโยชน์ต่าง ๆ เหล่านั้นคือ :

-ขจัดกรดต่าง ๆ ที่ตกค้างออกไป เพราะน้ำมะนาวมีแร่ธาตุต่าง ๆ (วิตามินซี, โพแทสเซียม)

-บรรเทาอาการท้องผูก

-ทำความสะอาดตับด้วยกรดซิตริก และสร้างเอนไซม์เพื่อขจัดสารพิษในเลือด

-ช่วยกระบวนการย่อยอาหาร

-กำจัดนิ่วในไต และตับอ่อน

การรักษาสิวโดยการดื่มน้ำมะนาว สูตร 1

1.บีบน้ำมะนาว 1 ผลลงในแก้ว

2.เติมน้ำเปล่า 2 ถ้วย (ถ้วยละ 8 ออนซ์)

3.ดื่มน้ำมะนาวที่ผสมนี้ได้ทั้งวัน

การรักษาสิวโดยการดื่มน้ำมะนาว สูตร 2

1.บีบน้ำมะนาว 1 ผล ผสมกับน้ำอุ่นที่ต้มแล้ว 1 ถ้วย (8 ออนซ์)

2.ดื่มเป็นสิ่งแรกของวัน ในตอนเช้า

3.หลังจากดื่มน้ำมะนาว งดการดื่ม หรือรับประทานสิ่งใด ๆ ภายในครึ่งชั่วโมง เพื่อให้น้ำมะนาวได้ชำระล้างร่างกาย

Read More

แก้รอยย่นของผิวหน้า ด้วยตัวเอง

ถ้าผิวหน้ามีริ้วรอย เพราะอดนอน ให้ใช้ไข่ขาวนวดให้ทั่ว ทิ้งไว้ให้แห้งแล้วล้างด้วยน้ำอุ่น เมื่อผัดหน้าจะเต่งตึง ถ้าเริ่มมีคางสองชั้น ใช้ปลายนิ้วกดลงเบาๆบนใบหน้าจากบริเวณคางไปยังแก้ม แล้วนวดด้วยปลายนิ้วให้ทั่วหน้า ทำอาการหยิกเบาๆคล้ายนกจิก แล้วตบคางด้านล่างเบาๆ ออกมาถึงปลายหู
ถ้ามีริ้วรอยสองข้างมุมปาก ใช้นิ้วมือนวดเบาๆ ลูบขึ้นไปจากรอยลึกระหว่างจมูกและมุมปาก ผ่านมุมปากไปสิ้นสุดลงสองข้างจมูก นวดและลูบจากล่างไปหาบน
ถ้าบริเวณหน้าผากที่ย่นมีริ้วรอย นวดเบาๆจากบนคิ้วขึ้นไปหาเนินผม แล้วค่อยๆนวดคลึงตามรอยย่นใช้วิธีกดลงไปเรื่อยๆ จากกลางหน้าผากออกไปหาขมับ
ถ้าบริเวณเปลือกตาบวม ใช้นิ้วชี้แต่ละข้างวางลงบนหัวตาใต้คิ้ว ค่อยๆเลื่อนปลายนิ้วชี้ผ่านไปเบาๆ โดยปรือตาลงเล็กน้อย
ถ้ามีถุงใต้ตา ให้กดด้วยปลายนิ้วลงบนถุงใต้ตาเพียงเบาๆ จากหัวตาออกไปหาขมับทั้งสอง
ถ้ามีรอยตีนกา ให้ใช้ปลายนิ้วชี้คลึงเบาๆ วนรอบหางตาบนรอยตีนกานั้น

Read More

พระนามบัตรในหลวง




พระนามบัตรในหลวง

Read More

น้ำพริกก้อยสูตร 2

กะปิห่อใบตองเผาไฟ 1 ช้อนโต๊ะ
พริกชี้ฟ้าเขียวแดงย่างไฟ 10 เม็ด
หอมแดงเผา 5 หัว
กระเทียมเผา 5 หัว
กุ้งนางเผาให้หัวสุกมากๆ 1 ตัว
น้ำปลาร้าต้มกรอง 1 ถ้วย
เนื้อปลาดุกย่างแกะ 1 ตัว
ข้าวคั่ว 1 ช้อนโต๊ะ
น้ำมะนาว 3 ผล
ตะไคร้ 3 ผล
ใบสะระแหน่ ผักกาดหอม


วิธีปรุง
โขลกกระเทียม หอม พริก กะปิดีแล้วใส่ในน้ำปลาร้าที่เตรียมไว้ในถ้วย ใส่เนื้อปลาดุกที่ฉีกจนยุ่ย เนื้อกุ้งเผาฉีกหยาบๆ โขลกเบาๆ เคล้าให้ทั่ว เติมน้ำมะนาม ข้าวคั่ว โรยใบสะระแหน่ รับประทานกับข้าวสวยร้อนๆ หรือปลาย่างก็ได้

Read More

น้ำพริกก้อยสูตร 1

เครื่องปรุง
กุ้งนาง 1 ตัว
น้ำพริกเผา 1 ช้อนโต๊ะ
ถั่วเขียว 1/2 ถ้วย
มะพร้าวขูด 300 กรัม
น้ำตาลทราย 2 ช้อนชา
น้ำมะนาว 2 ช้อนโต๊ะ
น้ำปลา 3 - 4 ช้อนโต๊ะ
น้ำมะขามเปียก 2 ช้อนโต๊ะ
น้ำสะเออะ และมันกุ้ง



วิธีปรุง
1. ล้างกุ้ง ปอกเปลือก ผ่าหลังชักเส้นดำออก นึ่งมันกุ้งให้สุก
2..คั่วถั่วให้หอม แล้วต้มจนเปื่อย คั้นมะพร้าว ให้ได้หัวกะทิ 2/3 ถ้วย
3. โขลกกุ้ง มันกุ้ง ถั่ว น้ำพริกเผา ให้ละเอียดเข้ากัน
4. เอาหัวกะทิใส่กระทะ ตั้งไฟพอแตกมัน ใส่เครื่องที่โขลกลงไปละลาย
5. ปรุงรสด้วยน้ำปลา น้ำตาล น้ำมะนาว น้ำมะขามเปียก
6. เอาน้ำสะเออะตั้งไฟให้เดือด แล้วผสมลงไปในกะทะ คนให้เข้ากัน ชิมรสตามชอบ
7. รับประทานกับผักสด เช่น แตงกวา ผักชี ดอกโศก หัวปลี สะระแหน่ ฯลฯ

Read More

Tuesday, March 9, 2010

สอนเกี่ยวกับการห่อของแบบต่างๆ ชุด 2

เป็น VCD สอนเกี่ยวกับการห่อของแบบต่างๆ
เป็นเทคนิคการห่อของให้กับพนักงานขาย
ก่อนไปผจญชะตากรรม ห่อของ ให้กับลูกค้า
เพื่อจะได้มีวิชาติดตัว จะได้ไม่ไปปล่อยไก่
ให้ลูกค้าเห็น (เป็นเทคนิคชั้นเทพ ที่ไม่ใช่
พื้นฐานอีกแล้วนะ) ประกอบด้วยวิชา

-ห่อของแบบที่ 6 การต่อกระดาษ
-ห่อของแบบที่ 7 ห่อแบบสอดการ์ดไว้ตรงกลาง
-ห่อของแบบที่ 8 แบบจับจีบเป็นรูปพัด
-ห่อของแบบที่ 9 แบบกล่องกลม
-ห่อของแบบที่ 10 แบบถุง


part1 http://www.mediafire.com/?cymizmm0nm4
part2 http://www.mediafire.com/?jt1zeldwoz2
part3 http://www.mediafire.com/?wyyyt4nfuzz
part4 http://www.mediafire.com/?3zjlrij23zj
part5 http://www.mediafire.com/?ijmoik3aiwz
part6 http://www.mediafire.com/?gzjmgm4vnod
part7 http://www.mediafire.com/?nymnnjn2tww
part8 http://www.mediafire.com/?jj1jtz2zazm
part9 http://www.mediafire.com/?ee4elvhnune
part10 http://www.mediafire.com/?2ztyektxyld

Read More

สอนเกี่ยวกับการห่อของแบบต่างๆ ชุด 1 [แบบพื้นฐาน]

เป็น VCD สอนเกี่ยวกับการห่อของแบบต่างๆ
เป็นเทคนิคการห่อของให้กับพนักงานขาย
ก่อนไปผจญชะตากรรม ห่อของ ให้กับลูกค้า
เพื่อจะได้มีวิชาติดตัว จะได้ไม่ไปปล่อยไก่
ให้ลูกค้าเห็น ประกอบด้วยวิชา

-ห่อของแบบที่ 1 แบบธรรมดาสามัญ
-ห่อของแบบที่ 2 แบบจดหมาย
-ห่อของแบบที่ 3 แบบญี่ปุ่น
-ห่อของแบบที่ 4 แบบกล่องกลม
-ห่อของแบบที่ 5 แบบว่าห่อขวดลักษณะรวบ


part1 http://www.mediafire.com/?mjjhdy2wgly
part2 http://www.mediafire.com/?zmmtmo0hmjk
part3 http://www.mediafire.com/?diowynyjwx1
part4 http://www.mediafire.com/?znmmnuqwmm4
part5 http://www.mediafire.com/?omd4oinxdmm

Read More

แผ่นสอนการติดตั้ง Windows 98,Me,2000,XP ด้วยตนเอง

แนะนำวิธีการติดตั้ง windows ด้วยตนเอง ตั้งแต่เริ่ม ฟอร์แมตเครื่อง ติดตั้งระบบปฏิบัติการ windows 98 me 2000 และ xp
รวมถึงการ ติดตั้งไดรเวอร์อุปกรณ์ที่จำเป็นต่าง ๆของ windows

เรียกได้ว่าครบครันทุกอย่าง

เนื้อหาภายในประกอบด้วย

*การฟอร์แมตเครื่องและการสร้างแผ่นบู๊ต
*การติดตั้งwindows 98 me 2000 และ xp
*การติดตั้งไดร์เวอร์อุปกรณ์ภายใน เช่น USB 2.0
*การติดตั้งไดร์เวอร์อุปกรณ์ภายนอก เช่น กล้องดิจิติล
*ทำอย่างไรถ้าติดตั้งไดรเวอร์บน windows xp ไม่ได้
*การติดตั้ง microsoft office xp
*วิธีการแก้ปัญหาเมื่อ บู๊ต windows ไม่ขึ้น

****Contents****

*การติดตั้งระบบปฏิบัติการ
-windows 98 me
-windows 2000 xp

*การติดตั้งไดรเวอร์
-เมนบอร์ด
-USB 2.0
-IDE Raid

*ติดตั้งไดร์เวอร์ภายนอก
-แสกนเนอร์
-กล้องดิจิตอล
-กล้องวีดีโอ

*ติดตั้ง microsoft office xp
-DirectX

*การแก้ปัญหา windows
-บู๊ตไม่ขึ้น
-จอดับ
-ติดตั้งไดรเวอร์ไม่ได้


part1 http://www.mediafire.com/?d3jmgmnkyn5
part2 http://www.mediafire.com/?jzfdrnblgnm

Read More

สื่อการสอนคำศัพท์ 5,000 คำ - 1,000 ความหมาย [อังกฤษ ญี่ปุ่น ไทย จีน ฝรั่งเศส]

โปรแกรมสื่อการสอนคำศัพท์ เด็กเรียนได้ ผู้ใหญ่เรียนดี

5,000 คำศัพท์ 5 ภาษา มี อังกฤษ ญี่ปุ่น ไทย จีน ฝรั่งเศส
5,000 คำศัพท์ ภาษาละ 1,000 ความหมาย
สามารถแปลจาก ภาษาหนึ่งไปอีกภาษาหนึ่ง ได้อีกด้วย

ภาพสีสวยสดใส ใช้งานง่าย สามารถคลิกดูรูปภาพ และฟังคำศัพท์ได้ทั้ง 5 ภาษา โดยเสียงจากเจ้าของภาษา 5,000 คำศัพท์ 1,000 ความหมาย โดยแยกเป็นหมวดหมู่ เพื่อให้ง่ายต่อการเรียนรู้ เหมาะสำหรับการเรียนรู้ของพวกคุณ ได้เป็นอย่างดี

part 1 http://www.saveufile.com/car.php?file=200911028b9613344ec8661a4e2bcd0197bfe6775
part 2 http://www.saveufile.com/car.php?file=20091102bf5459a666bc2d97627ead8fe03f8b4ad
part 3 http://www.saveufile.com/car.php?file=20091102c8d84e707b91495fa23d5402235fad597
part 4 http://www.saveufile.com/car.php?file=2009110226be3133dfbe524e0ecb708378125ad2e
part 5 http://www.saveufile.com/car.php?file=2009110214981fc067b298585a2a7f488fd44f404
part 6 http://www.saveufile.com/car.php?file=20091102ac36da1995d95540f0c55daf7a2f908c7
part 7 http://www.saveufile.com/car.php?file=2009110268e384a6149fa8d44d1bd3842f3f523c0

Read More